วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หน่วยที่ 2 สารสนเทศและการรู้สารสนเทศ

หน่วยที่ 2
สารสนเทศและการรู้สารสนเทศ


ในศตวรรษที่ 21 ถือว่าเป็นยุคสารสนเทศ (Information age) เพราะสารสนเทศมีมากมหาศาล หลากหลายรูปแบบ บุคคลต้องเผชิญกับสารสนเทศ ซึ่งสามารถพบได้ทุกที่ ด้วยวิธีการ ที่แตกต่างกัน การรู้สารสนเทศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สารสนเทศ โดยเป็นกระบวนการ ทางปัญญา เพื่อสร้างความเข้าใจ ในความต้องการสารสนเทศ การค้นหาการประเมิน การใช้สารสนเทศ และการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพ และการรู้สารสนเทศจำเป็นต้องอาศัยทักษะต่าง ๆ

ความหมายของสารสนเทศ
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นนามธรรม รูปธรรมมีความหมายที่บ่งบอกได้ในตัวเอง มีคุณค่าควรแก่นำไปดำเนินการให้สื่อความหมายได้
ข่าวสาร หมายถึง เรื่องราว เหตุการณ์ หรือข้อมูลที่บ่งบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมีอยู่ และต้องการจะเผยแพร่ต่อไป
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูล ข่าวสาร ที่รวบรวม เรียบเรียงหรือดำเนินการด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้ ระหว่างผู้สื่อ และผู้รับ สามารถนำไปใช้ได้ตามที่ต้องการ
สมาคมห้องสมุดอเมริกันให้คำจำกัดความของคำว่า Information ว่าหมายถึง ความคิด ข้อเท็จจริง และผลงานที่เกิดขึ้นจากจิตใจทั้งหมด ซึ่งมีวิธีการติดต่อสื่อสาร มีการจดบันทึกรวบรวม มีการตีพิมพ์เผยแพร่ หรือมีวิธีการแจกจ่ายทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการในทุกรูปแบบ (Young. 1983 : 117)
พาล์มเมอร์ (Palmer. 1987 : 6) ให้ความหมายที่สั้นกะทัดรัดว่า Information คือ ข้อมูลซึ่งใช้ในการตัดสินใจ
สารสนเทศ คือ ทักษะที่จะค้นหา การค้นคืน การวิเคราะห์ และการใช้สารสนเทศ (Knauer, Kelly : 2003)
สนเทศ น. คำสั่ง ข่าวสาร ใบบอก (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. 2546 : 1119)
สารสนเทศ น. ข่าวสาร การแสดงหรือชี้แจงข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. 2546 : 1182)
ดังนั้นสารสนเทศจึง หมายถึง ข่าวข้อเท็จจริง ข้อมูล ตลอดจน ความรู้ซึ่งได้มีการบันทึกไว้ ทั้งในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ข้อสนเทศ ซึ่งได้บันทึกไว้นี้เป็นสิ่งสำคัญ ที่นำมาใช้เพื่อประกอบการวินิจฉัยสั่งการ การวางแผน การศึกษาวิจัย การพัฒนาอาชีพ และอื่น ๆ ของบุคคลในทุกวงการและทุกระดับห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศอย่างถูกต้องสมบูรณ์และตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด และทันกับเวลาที่ต้องการด้วย

ความสำคัญและบทบาทของสารสนเทศ
การรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตในประจำวัน มนุษย์ทุกคนต้องอาศัยสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจ การรู้สารสนเทศจะช่วยให้มีทักษะในการแก้ปัญหาเพราะรู้ว่าสารสนเทศที่ช่วยตอบคำถามที่มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผล (effectively and efficiently ) ผู้รู้สารสนเทศต้องเป็นคนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีที่จะใช้ห้องสมุดสมัยใหม่อันเป็นช่องทางสู่สารสนเทศ (gateway to information) ที่ต้องการ ผู้รู้สารสนเทศจะต้องรู้จักการวิเคราะห์และประเมินค่าสารสนเทศ (Analyze and evaluate the information) ที่ตนค้นหาได้ เพื่อที่จะช่วยการตัดสินใจและนำไปสร้างสรรค์ผลงานต่อไป
ความสำคัญของสารสนเทศในสังคม เป็นความจำเป็นของคนในสังคมที่ต้องใช้ สารนิเทศ เพื่อพัฒนาตนเอง และใช้สารสนเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาประเทศโดยส่วนรวม สารสนเทศจึงมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพของสังคม ให้ก้าวหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีคำกล่าวที่ว่า “ความรู้คืออำนาจ” หรือ “สารสนเทศคืออำนาจ” (Information is power) ใครมีข้อมูลสารสนเทศมาก ผู้นั้นย่อมมีอำนาจมาก
1. บทบาทของสารสนเทศ
1.1 บทบาทต่อการพัฒนาประเทศ
สารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้าน ถ้าประชาชน รู้จักใช้สารสนเทศมาปรับปรุงการดำเนินงาน พัฒนางานที่กำลังกระทำอยู่ก็มีส่วนช่วยพัฒนาประเทศทางอ้อม ทั้งนี้เพราะสารสนเทศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงมีความจำเป็นต่อการติดตามสารสนเทศอยู่เสมอประเทศที่เป็นตัวอย่างในสารสนเทศเพื่อการพัฒนาประเทศที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น
เป็นที่ยอมรับว่าประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศหนึ่งที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก ปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จทางเศรษฐกิจจนสามารถพัฒนาประเทศมาอยู่ในประเทศชั้นนำของโลกได้แก่ การเรียนรู้สารสนเทศจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างประเทศ ประเทศญี่ปุ่นเห็นความสำคัญของสารสนเทศการผลิตและการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ค้นหาวิธีวิจัยและพัฒนาต่อ จนผลิตเทคโนโลยีนั้นส่งกลับไปขายแข่งขันในประเทศสหรัฐอเมริกาและตลาดโลกได้ สารสนเทศที่มีส่วนช่วยพัฒนาประเทศได้มาจากการสนับสนุนการจัดงบประมาณเพื่อการค้นคว้าและวิจัย ปรากฏว่า ประเทศญี่ปุ่นมีงบประมาณสำหรับการค้นคว้าสารสนเทศด้านการวิจัยประมาณร้อยละ 9 ของงบการวิจัยทุกประเทศรวมกัน นับเป็นอันดับที่สามรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย
สำหรับประเทศไทยนั้นได้เล็งเห็นความสำคัญของสารสนเทศ ได้จัดตั้งคณะกรรมการสารสนเทศแห่งชาติเพื่อรับผิดชอบในกำหนดกรอบนโนบายสารสนเทศภายในประเทศให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้สารสนเทศเพื่อพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านอยู่แล้วในขณะนี้
1.2 บทบาทด้านการค้า
การค้าจะดำเนินไปด้วยดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการเผยแพร่สารสนเทศทางการค้าต้องจัดทำอย่างสม่ำเสมอ หากมีการเผยแพร่สารสนเทศทางการค้ามาก ยิ่งทำให้ผู้ต้องการสินค้าตัดสินใจในการดำเนินงานทางการค้าได้เร็วและถูกต้องยิ่งขึ้น ในทำนองเดียวกันหากไม่มีข้อมูลทางการค้าเพียงพอก็อาจทำให้การค้าชะงักงันหรือเกิดความเสียหายได้
กระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นความสำคัญของสารสนเทศว่ามีบทบาทต่อภาระหน้าที่ของกระทรวง จึงได้กระจายข้อมูลสารสนเทศทางการค้าอย่างสม่ำเสมอ ตั้งงบประมาณเพื่อติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์จัดเก็บข้อมูลบริการพ่อค้า ตลอดจนเกษตรกรและถ่ายทอดข้อมูลของต่างประเทศจาก กรมพาณิชย์สัมพันธ์ให้กับผู้ที่ต้องการสารสนเทศดังกล่าว ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ที่จัดเก็บและให้บริการผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปของจังหวัด เช่น ประชากร อาชีพ สภาพความเป็นอยู่ และข้อมูลในระดับการตัดสินใจ เช่น สินค้า พืช ที่สำคัญในท้องถิ่น ผู้ประกอบการค้า เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อการค้าในประเทศเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการมีส่วนผลักดันให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (ONE TAMBON ONE PRODUCT) ซึ่งก่อให้เกิดการกระจายรายได้ไปตามชนบทในขณะนี้
บริษัทเอกชน ธนาคารทั่วไป และสถาบันการค้าต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ใช้สารสนเทศ เพื่อตัดสินใจทางด้านการค้าทั้งสิ้น เพียงแต่สภาพการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศแตกต่างกันไปตามความจำเป็นของการใช้สารสนเทศ
1.3 บทบาทด้านการศึกษา
จากอดีตจนถึงปัจจุบันสังคมสารสนเทศล้วนแต่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา โดยประเทศได้รวบรวมสารสนเทศทุกชนิด เพื่อการศึกษาของคนในประเทศเป็นหลัก มีการสนับสนุนการจัดตั้งห้องสมุดและศูนย์กลางการให้บริการสารสนเทศเพื่อการศึกษา มีการแปลหนังสือจากภาษาหนึ่งไปสู่ภาษาหนึ่ง เพื่อให้สารสนเทศแพร่หลายและเป็นการพัฒนาประเทศทางอ้อม สื่อสารสนเทศเพื่อการศึกษาจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากในแต่ละปี
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกล้วนแต่มีหน่วยงานทางการศึกษาที่รับผิดชอบในการผลิตสารสนเทศเพื่อการศึกษา เช่น กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการผลิตตำรา ในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา หนังสือที่ผลิตได้แก่ หนังสือแบบเรียน คู่มือครู หนังสืออ่านเพิ่มเติม หนังสือส่งเสริมการอ่าน ส่วนหน่วยงานทางวิชาการของสถาบันการศึกษาก็ผลิตตำราเพื่อประกอบการเรียนการสอน เช่น ตำราของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้น
สารสนเทศเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนมีบทบาทในการส่งเสริมระบบการศึกษาภายในประเทศ ทำให้เกิดการศึกษาอย่างต่อเนื่องและมีผลต่อการพัฒนาประเทศโดยส่วนรวม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่สำคัญ ด้านการจัดการศึกษา ได้ดำเนินการจัดระบบข้อมูลการศึกษาระดับจังหวัด เพื่อใช้ประโยชน์ในการนำสารสนเทศไปใช้วางแผนและวินิจฉัยปัญหาและความต้องการด้านการศึกษาของแต่ละจังหวัด สารสนเทศจึงมีบทบาทต่อการพัฒนาการศึกษาภายในประเทศดังกล่าว
1.4 บทบาทด้านการเมืองการปกครอง
สารสนเทศ มีบทบาทต่อการส่งเสริมระบอบการเมืองภายในประเทศ ให้ความสนับสนุนให้ประชาชนเกิดความเข้าใจในระบบการปกครองของประชาชน ถ้าประชาชนในประเทศให้ความสนใจสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับนโยบายต่าง ๆ การปฏิบัติหน้าที่ของราชการ ถ้าประชาชนเข้าใจสภาพปัญหาของประเทศชาติจะทำให้เกิดการพัฒนาและการปกครองเป็นไปได้อย่างราบรื่น
คณะรัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้สื่อสารสนเทศกับประชาชน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ประชาชนได้รับทราบสารสนเทศ เกี่ยวกับนโยบายการบริหารของรัฐ โดยจัดตั้งศูนย์ข้อมูลของจังหวัดเพื่อเป็นคลังรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน เพื่อนำไปวางแผนงานทางด้านการปกครอง ด้านการให้บริการของรัฐ ด้านการพัฒนาสังคม ด้านความมั่นคง และด้านอื่นๆ สารสนเทศดังกล่าว จึงมีบทบาทและประโยชน์ด้านการเมืองการปกครองทั้งในปัจจุบันและอนาคต
1.5 บทบาทด้านอุตสาหกรรม
ประเทศที่กำลังพัฒนา ส่วนใหญ่มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมเป็นหลักสารสนเทศจึงมีส่วนสำคัญ ผู้ประกอบการลงทุนจะต้องศึกษาสารสนเทศต่างๆ อย่างลึกซึ้งก่อนที่จะประกอบการอุตสาหกรรม รัฐบาลต้องหาวิธีการและสนับสนุนให้นักธุรกิจได้รับรู้สารสนเทศเพื่อประกอบการอุตสาหกรรมหากมีการลงทุนมากขึ้น ย่อมมีความจำเป็นต้องเผยแพร่สารสนเทศนั้นๆ ให้มากขึ้นตามลำดับ
การถ่ายทอดเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ดังเช่น ประเทศญี่ปุ่นมีการพัฒนาสารสนเทศในระดับที่พร้อมที่จะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับสูงได้ และในประเทศไทยรัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะส่งเสริมสินค้าส่งออกเป็นหลัก และขยายตลาดอุตสาหกรรมให้ใหญ่พอที่จะรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น โครงการหลักใหญ่ๆ ในการพัฒนาประเทศสู่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก โครงการพัฒนาภาคใต้ และโครงการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ล้วนต้องรวบรวมสารสนเทศเพื่อมาใช้ประโยชน์กับโครงการต่างๆ ดังกล่าวอย่างเต็มที่
1.6 บทบาทด้านวัฒนธรรม
สารสนเทศที่มีอยู่กระจัดกระจายเป็นจำนวนมากนี้ มีบทบาทเกี่ยวข้องกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน สภาพของสารสนเทศในรูปแบบของหนังสือ วารสาร เอกสาร ตลอดจนโสตทัศนวัสดุต่างๆ มีการจัดเก็บและให้บริการในห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศอยู่แล้ว สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมมีส่วนสำคัญในการรักษาเอกลักษณ์ของชาติทำให้คนในชาติได้ตระหนักในศักดิ์ศรีในความเป็นชาติตน ยังเป็นผลให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ และทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง วัฒนธรรมมีส่วนช่วยในการพัฒนาจิตใจของประชาชนมีส่วนเกื้อกูลในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนในสังคมและประเทศชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข
เอกสารทางด้านวัฒนธรรมในแต่ละประเทศมีมากมาย ทั้งนี้เกิดจากการสะสมสารสนเทศมาอย่างสืบเนื่อง เป็นหน้าที่ของนักสารสนเทศรุ่นหลังจะต้องช่วยกันถ่ายทอดสารสนเทศทางวัฒนธรรมที่มีอยู่จำนวนมากให้มีการเผยแพร่เพื่อถ่ายทอดสิ่งดีงามทางวัฒนธรรม
สรุปได้ว่าสารสนเทศมีประโยชน์ ดังนี้
1. ลดอัตราการตายจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
2. ช่วยให้ประชาชนเป็นผู้บริโภคอย่างฉลาด
3. พัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน
4. ลดความผิดพลาดในการตัดสินใจ
5. ส่งเสริมการศึกษา ค้นคว้า และลดค่าใช้จ่ายจากการทำวิจัยซ้ำซ้อน
6. สามารถแก้ปัญหาได้ดีขึ้น
7. เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างองค์ความรู้
8. เป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาประเทศ

พัฒนาการของสารสนเทศ
พัฒนาการของสารสนเทศตามวิวัฒนาการของสื่อสารนิเทศ เปรียบเทียบเหมือนกับคลื่นของสารสนเทศ แบ่งเป็น 3 ยุค คือ
คลื่นยุคที่ 1 ได้แก่ ยุควัติทางเกษตรกรรม (Agricultural Revolution)
ยุคแรกนี้เริ่มตั้งแต่ประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงประมาณ ค.ศ.1750 ความเป็นอยู่ของคนในสังคมสารนิเทศแรกมีความเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ปฏิบัติตามประเพณีนิยม ที่เคยปฎิบัติกันมา ได้รับการถ่ายทอดความคิดจากบุคคลในครอบครัวและในหมู่บ้านของตน ไม่มีโอกาสได้เห็นสังคมอื่น ๆ ที่แตกต่างไปจากสังคมที่ตนอาศัยอยู่ สารสนเทศจะอยู่ในรูปแบบ ของภาษาพูดและภาษาเขียน
คลื่นยุคที่ 2 ยุควัติทางอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)
ยุคที่สองของสารสนเทศเริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1750 ถึง ค.ศ.1950 เป็นยุคที่สารสนเทศประเภทหนังสือและวารสาร มีบทบาทสำคัญและสื่อสารสนเทศด้านสื่อมวลชนเข้ามามี บทบาทต่อสังคมสารสนเทศยุคนี้ การจัดทำหนังสือพิมพ์เพื่อสังคมได้รับข่าวสาร การพัฒนาสื่อสารสนเทศด้านวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ สื่อสารสนเทศได้แพร่ กระจายเข้าไปในชุมชนผ่านอุปสรรคของการขวางกั้นจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ระยะทาง เวลา ภาษา ศาสนาหรือขนบธรรมเนียมประเพณี
คลื่นยุคที่ 3 ยุคเทคโนโลยีระดับสูง (High Technology Civilization)
ยุคนี้เป็นยุคของสังคมข่าวสารปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา เป็นสังคมข่าวสารที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เกิดสื่อสารสนเทศใหม่ ๆ จนทำให้สภาพของสังคมสารสนเทศเหมือนกันในทุกประเทศ ไม่มีปัญหาใด ๆ ต่อการที่จะรับทราบสารสนเทศซึ่งกันและกัน
ในสังคมสมัยโบราณ การเชิญพระราชสาส์นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา ใช้เวลาในการเชิญพระราชสาส์นจากกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2229 จนกระทั่งไปถึงกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2229 การเดินทาง ของสารสนเทศคือ พระราชสาส์นใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 เดือนเต็ม กว่าที่พระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศสได้ทอดพระเนตร
เมื่อระบบโทรคมนาคมเข้ามาเกี่ยวข้องกับสารสนเทศ ความเปลี่ยนแปลงต่อการรับ สารสนเทศจึงเปลี่ยนแปลงไป จากเวลาหลายเดือนในการส่งของสารสนเทศและต้องใช้คน เดินทางไปกับสารสนเทศ กลายเป็นใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงด้วยการส่งโทรเลขหรือโทรศัพท์โดย ไม่ต้องใช้คน และรวดเร็วมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการปรับปรุงพัฒนาระบบโทรคมนาคม
การบันทึกสารสนเทศ
ยุคแรกเริ่มมีการบันทึก สารสนเทศด้วยตัวอักษร ประวัติของห้องสมุดควบคู่ไปกับประวัติของการเขียนหนังสือ พัฒนา การของการบันทึกสารสนเทศย้อนหลังไปกว่า 6,000 ปี มนุษย์ในสังคมสารสนเทศยุคแรกจดหรือบันทึกสารสนเทศบนกระดูก แผ่นดินเหนียว โลหะ ขี้ผึ้ง ไม้ กระดาษปาไปรัส ผ้า ไหม ขนสัตว์ หนังสัตว์ จนกระทั่งสารสนเทศได้พัฒนาในระยะหลังด้วยการบันทึกลงบน กระดาษ แผ่นฟิล์ม พลาสติก และแผ่นจานแม่เหล็กในปัจจุบัน
1. ห้องสมุดดินเหนียว (Libraries of Clay หรือ House of Clay Tablets) เป็นห้องสมุดยุคแรกที่เกิดขึ้นในสมัยอาณาจักรเมโสโปเตเมียโบราณเรือง อำนาจประมาณ 50-500 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองบาบิโลนและเมืองนิเนเวห์ (Babylon & Nineveh) ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอิรัก ซีเรีย และตุรกี ประชาชนชาวสุเมเรียนตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นเมโสโปเตเมีย บริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริส และยูเฟรตีส เป็นชนชาติแรกที่คิดประดิษฐ์ตัวอักษร คูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือ อักษรลิ่มขึ้น ได้ค้นพบวิธีการบันทึกสารสนเทศให้คงทนอยู่ได้นาน ด้วยการขีดเขียนอักษรโดยใช้เหล็กแหลมกดลงบนแผ่นดินเหนียว (Clay tablets) ซึ่งเปียกอยู่แล้วนำไปทำให้แห้งหรือเผากลายเป็นสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ของคนในชาติยุคนั้น รวบรวมจัดเก็บในห้องสมุดแผ่นดินเหนียว ห้องสมุดที่สำคัญได้แก่ ห้องสมุดเทลเลาะห์ (Telloh)
เรื่องราวที่บันทึกส่วนใหญ่ ได้แก่ วรรณกรรม นิยาย กาพย์ต่างๆ และเรื่องราวทางศาสนา ชาวบาบิโลเนียน ซึ่งอาศัยอยู่ในแคว้นเมโสโปเตเมียตอนล่างได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากชาว สุเมเรียน โดยนำอักษรรูปลิ่มไปบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ได้แก่ วรรณกรรม และเรื่องราวทางศาสนา รวมถึงได้สร้างห้องสมุดตามวัดและพระราชวัง ชาวบาบิโลเนียนได้คิดค้นประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของโลก จารึกด้วยอักษรคูนิฟอร์มบนแท่นหินสีดำ จัดเป็นมรดกทางอารยธรรมที่มีค่ายิ่ง ชาวอัสสิเรียนเก็บรวบรวมแผ่นดินเหนียว บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ที่ห้องสมุดเมืองนิเนเวห์ (Nineveh) และจัดทำบัญชีรายชื่อหนังสือดินเผาแต่ละแผ่นไว้ด้วย
2. ห้องสมุดปาไปรัส (Libraries of Papyrus) ในช่วงเวลาเดียวกับชาวสุเมเรียน ชาวบาบิโลเนียน และอัสสิเรียนรู้จักจารึกตัวอักษรบนแผ่นดินเหนียว ชาวอียิปต์ได้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรไฮโรกลิฟิค (Hieroglyphic) และบันทึกลงบนกระดาษปาไปรัส (Papyrus) เก็บรวบรวม บันทึก เรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ จากวัสดุที่ทำจากกระดาษปาไปรัส ซึ่งชาวอียิปต์ทำขึ้นโดยนำต้นปาไปรัส (คล้ายต้นอ้อ) ซึ่งมีมากแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ นำมาลอกเอาเยื่อบาง ๆ ประกบกันหลาย ๆ ชั้น ทำเป็นแผ่นกระดาษขึ้น แผ่นกระดาษเหล่านี้เมื่อนำเอา ด้านข้างมาต่อกัน จะเป็นแผ่นที่ยาวออกในด้านข้าง บางฉบับยาวถึง 40 หลา ใช้หญ้ามาทุบปลายให้เป็นฝอยใช้แทนพู่กัน และต่อมาใช้ปล้องหญ้าตัดทำเป็นปากกา หมึกที่ใช้ทำด้วยถ่านไม้บดละเอียดผสมยางไม้ การใช้กระดาษปาไปรัสได้แพร่หลายไปยังดินแดนต่าง ๆ ชาวอียิปต์บันทึกไว้ในกระดาษปาไปรัส เมื่อจบการบันทึกก็จะม้วนแล้วมัดไว้เป็นม้วนๆ (Papyrus roll) ห้องสมุดปาไปรัสที่มีชื่อเสียง ได้แก่ หอสมุดแห่งชาติเมืองกิเซห์ สร้างเมื่อราว 2,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เรื่องราวที่บันทึกส่วนมากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา การปกครอง ตำรายา และ
รูปที่ 12 an ancient Egyptian papyrus roll
ภาพจาก http://spencer.lib.ku.edu/sc/คณิตศาสตร์ หนังสือม้วนที่ยาวที่สุดชื่อว่า Harris papyrus I มีความยาวถึง 133 ฟุตซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ

3. ห้องสมุดแผ่นหนัง (Libraries of Parchment)
การใช้แผ่นหนังเป็นวัสดุสำหรับการเขียน ได้รู้จักกันมานานราว 500 ปี ก่อนคริสตกาล พระเจ้าเปอร์กามัม (Pergamum) แห่งกรีกจึงทรงดำริคิดหาวิธีฟอกหนังให้เหมาะ แก่การเขียนและสามารถเขียนได้สองหน้าซึ่งเรียกว่า กระดาษหนัง (Parchment) โดยการนำแผ่นหนังมาวางซ้อนกันเย็บเป็นเล่มเรียกว่า โคเด็กซ์ (Codex) เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา
4. ห้องสมุดยุคปัจจุบัน (Libraries of papers)
คริสตวรรษที่ 15 ชาวเยอรมันชื่อ กูเตนเบอร์ก (Gutenberg) ได้ ค้นพบวิธีการพิมพ์หนังสือ โดยคิดประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ตัวอักษรที่ทำด้วยโลหะขึ้น การค้นพบ วิธีการพิมพ์นี้เองที่ทำให้วิทยาการและการศึกษาค้นคว้า ต่าง ๆ แพร่หลายไปทั่ว ลักษณะของ หนังสือก็เปลี่ยนไป หนังสือมีขนาดเล็กลงและมีราคาถูก ใช้ได้สะดวก หนังสือแพร่หลาย ทำให้มีการผลิตหนังสือให้กับห้องสมุดประเภทต่าง ๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้
มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ เช่น มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด มหาวิทยาลัยปารีส ในเวลาต่อมาจึงเกิดห้องสมุดมหาวิทยาลัยให้บริการแก่นักศึกษากิจการห้องสมุดได้รับการสนับสนุน มีห้องสมุดเพิ่มมากขึ้น และเผยแพร่สู่ประชาชนมากขึ้น เกิดห้องสมุดประชาชน เริ่มมีการคิดค้นระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือระบบต่าง ๆเมื่อเข้าสู่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นยุคสังคมข่าวสาร มนุษย์ทุกสาขาอาชีพใช้ข้อมูลข่าวสารเป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน ห้องสมุดมีการจำแนกประเภทออกไปตามวัตถุประสงค์ และตามประเภทของสื่อที่จัดเก็บ จึงเกิดสถาบันบริการสารสนเทศที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ซึ่งล้วนมีบทบาทต่อการศึกษาค้นคว้าของมนุษย์ปัจจุบันห้องสมุดจัดตั้งขึ้นอย่างแพร่หลาย ได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในการเชื่อมโยงสารสนเทศจากยุค จากทุกสาขาวิชา และสถานที่ต่าง ๆทั่วทุกมุมโลกเข้าหากัน สร้างความร่วมมือในการค้นคืนสารสนเทศ หรือใช้ทรัพยากรร่วมกันผ่านเครือข่ายห้องสมุดทั่วโลก ห้องสมุดนำเทคโนโลยีสารสนเทศ และวิทยาการสมัยใหม่มาจัดดำเนินการ และให้บริการแก่ผู้ใช้ การนำระบบห้องสมุดอัตโนมัติมาใช้ในการทำงาน และสืบค้นหาสารสนเทศ การนำสื่อสิ่งพิมพ์ไปปรับเปลี่ยนเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Library) การนำสื่อสิ่งพิมพ์ไปผ่านกระบวนการดิจิทัลในรูปแบบห้องสมุดดิจิทัล (Digital Library) หรือการจัดให้บริการสารสนเทศโดยปราศจากสื่อสิ่งพิมพ์ในรูปแบบห้องสมุดเสมือน (Virtual Library) ล้วนเป็นแนวโน้มการพัฒนาห้องสมุดในอนาคตที่ปราศจากสถานที่ และกฎเกณฑ์ของเวลามีลักษณะเสมือนเป็น “ห้องสมุดไร้พรมแดน” ที่นำศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาช่วยผู้ใช้ในการเข้าถึงแหล่ง สารสนเทศทั่วโลกได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

พัฒนาการห้องสมุดในประเทศไทย
ห้องสมุดในประเทศไทย มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี หอไตรหรือหอพระไตรปิฎก นับเป็นห้องสมุดประเภทแรกที่จัดตั้งขึ้นในสมัยสุโขทัยโดยจัดสร้างขึ้นในวัด เพื่อเก็บรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎก และวรรณกรรมทางพุทธศาสนา โดยจารหรือบันทึกลงบนใบลานแล้วเก็บรวบรวมไว้ในห่อผ้าที่ใช้ผูกมัด เพื่อไม่ให้กระจัดกระจาย เรียกว่า หนังสือผูก สมัยกรุงศรีอยุธยา ยังคงปรากฏหอไตรอยู่ตามวัดต่าง ๆ และมีการสร้างหอหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเก็บรวบรวมกฎหมาย และเอกสารทางราชการ ต่อมาภายหลังถูกทำลายลงหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการสังคายนาพระไตรปิฎก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรด ฯ ให้สร้างหอพระมณเฑียรธรรม ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎก และหนังสือจำนวนมาก เมื่อ พ.ศ. 2326 ถือเป็นหอสมุดพุทธศาสนาของหลวงหลังแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และจารึกความรู้ในด้านต่าง ๆ ลงบนแผ่นศิลาประดับไว้ในบริเวณวัด มีรูปเขียน และรูปสลักประกอบตำรานั้น ๆ และเปิดให้ประชาชนทุกชั้นวรรณะเข้าไปคัดลอกความรู้ได้โดยเสรี ดังนั้น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จึงถือเป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในประเทศไทย

ส่วนห้องสมุดสมัยใหม่เริ่มขึ้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 4 ทรงบริจาคทรัพย์ร่วมกันสร้าง “หอพระสมุดวชิรญาณ” เมื่อปี พ.ศ. 2424 เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชกาลที่ 5 ยังทรงโปรด ให้สร้าง “หอพุทธสาสนสังคหะ” เมื่อปี พ.ศ. 2443 เพื่อให้เป็นสถานที่เก็บหนังสือและพระไตรปิฎก
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง โปรดเกล้า ฯ ให้รวมหอพระมณเฑียรธรรม หอพุทธสาสนสังคหะ และหอสมุดวชิรญาณเข้าด้วยกันแล้วได้พระราชทานนามว่า “หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” ตั้งอยู่บริเวณพระบรมมหาราชวังและในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายออกมาอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุ ถนนหน้าพระธาตุข้างนอกพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้ประชาชนค้นคว้าได้สะดวก ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “หอสมุดแห่งชาติ” หลังจากนั้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หอสมุดแห่งชาติได้ย้ายมาอยู่ที่ท่าวาสุกรี ถนนสามเสน กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509
องค์การ และหน่วยงานต่าง ๆ จัดตั้งห้องสมุดเพื่อการศึกษาค้นคว้า และเป็นผลให้เกิดห้องสมุดโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ห้องสมุดสยามสมาคม ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ซึ่งต่อมาเป็นหอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อพ.ศ. 2549 เริ่มมีการเปิดสอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ที่ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความช่วยเหลือของมูลนิธิฟุลไบรท์ เมื่อพ.ศ. 2494 หลังจากนั้นวิทยาการบรรณารักษศาสตร์ ได้ขยายการเรียนการสอนไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน ส่งผลให้มีการพัฒนาระบบการบริหารงานสอนห้องสมุดตามแบบสากล เกิดห้องสมุดของสถาบันต่าง ๆ
ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้นำในการนำระบบห้องสมุดอัตโนมัติเข้ามาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บ และค้นคืนสารสนเทศ ทำให้ห้องสมุดมีศักยภาพในการให้บริการมากขึ้น สามารถสนองความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้ รวมทั้งมีการพัฒนาระบบเครือข่ายในระดับห้องสมุดเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับเครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัย
ห้องสมุดในปัจจุบัน
ด้วยปริมาณของสารสนเทศที่เพิ่มพูนอย่างมหาศาล และสื่อที่บันทึกสารสนเทศมีหลากหลายประเภทมากขึ้น ห้องสมุดจึงนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการดำเนินงานสำคัญ ๆ ของห้องสมุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงและเรียกใช้สารสนเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ห้องสมุดปัจจุบันจึงมีลักษณะดังนี้
1. ห้องสมุดอัตโนมัติ (Automatic Libraries)
2. ห้องสมุดดิจิทัล (Digital Libraries)
3. ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Libraries)
4. ห้องสมุดเสมือน (Virtual Libraries)
กล่าวคือ มีการเก็บข้อมูลสำคัญของทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด ในระบบฐานข้อมูลที่จัดการโดยระบบคอมพิวเตอร์ และอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สืบค้นสารสนเทศจากฐานข้อมูลได้ รวมทั้งมีระบบเครือข่ายสารสนเทศ ทำให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นสารสนเทศได้โดยการเข้าใช้ผ่านเทอร์มินอลในห้องสมุด หรือเข้าถึงฐานข้อมูลของห้องสมุดจากสถานที่ใด ๆ ก็ได้ โดยผ่านระบบเครือข่ายประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้เอกสารที่นำเสนอในห้องสมุด บางส่วนอยู่ในรูปของเอกสาร
อิเล็กทรอนิกส์ สามารถสืบค้นได้โดยระบบคอมพิวเตอร์ และสามารถส่งหรือรับสารสนเทศ
ได้ด้วยสัญญาณดิจิทัลบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เมื่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้ามาสู่สังคมโลก ทำให้การเข้าถึงสารสนเทศภายในห้องสมุดต่าง ๆ ทั่วประเทศ และทั่วโลกเป็นไปได้โดยสะดวก และกว้างขวางยิ่งขึ้นกอร์ปกับมีการพัฒนาเทคโนโลยี เว็บไซต์ ทำให้มีการสร้างเว็บทั้งของห้องสมุด ของหน่วยงานองค์กร ทั้งภาครัฐ และเอกชน และแม้แต่ส่วนบุคคล นำเสนอสารสนเทศจนประมาณมิได้ การเข้าถึงสารสนเทศ จึงไร้พรมแดนไม่มีอาณาเขตอีกต่อไป
ดังนั้น การที่จะสามารถเข้าถึงสารสนเทศที่มีคุณค่าตรงกับความต้องการ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่เรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งสารสนเทศ เครื่องมือที่ช่วยในการค้นคว้า และวิธีการศึกษาค้นคว้าที่ถูกต้อง ก็จะไม่ได้รับสารสนเทศที่ตรงกับความต้องการที่แท้จริง ไม่สามารถส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าที่ดีได้

องค์ประกอบการรู้สารสนเทศ
ผู้รู้สารสนเทศ (Information literate person) หมายถึง บุคคลที่รู้ว่าจะเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างไร (People who have learned how to learn)
สมาคมห้องสมุดแห่งอเมริกา ได้กำหนด องค์ประกอบของการรู้สารสนเทศไว้ 5 ประการ ดังนี้ คือ
ความสามารถในการตระหนักว่า เมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ เข้าใจถึง ความสำคัญ
ของสารสนเทศว่า ใช้ประโยชน์ต่อการตัดสินใจ และช่วยในการทำงานหรือการเรียนได้ดีขึ้น ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ และรู้ว่าจะได้สารสนเทศที่ต้องการได้จากที่ใด
และจะค้นคืนสารสนเทศได้อย่างไร ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ และแหล่งสารสนเทศได้อย่างมีวิจารณญาณ ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ คือ การคิดและการวิเคราะห์สารสนเทศ
ที่ได้มา ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ของตนเองได้ ตลอดจนการเข้าถึง และการใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรมและถูกฎหมาย
สมาคมบรรณารักษ์ห้องสมุดมหาวิทยาลัยออสเตรเลียได้กำหนดมาตรฐานการรู้สารสนเทศสำหรับบุคคลทั่วไป (Information Literacy Standards for Person) ไว้ 7 มาตรฐาน เช่น
1. ผู้รู้สารสนเทศรู้ถึงความต้องการสารสนเทศและกำหนดขอบเขตของความต้องการสารสนเทศได้
2. ผู้รู้สารสนเทศสามารถเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล
3. ผู้รู้สารสนเทศสามารถประเมินคุณค่าสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและบูรณาการสารสนเทศที่เลือกสรรแล้วเข้ากับความรู้เดิม
4. ผู้รู้สารสนเทศสามารถจัดหมวดหมู่ เก็บรวบรวมถ่ายโอนและร่างสารสนเทศที่รวบรวมได้
5. ผู้รู้สารสนเทศควรขยายหรือตีกรอบ หรือวางโครงร่าง หรือสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ โดยบูรณาการความรู้เดิมกับความรู้ใหม่เป็นของตนได้
6. ผู้รู้สารสนเทศมีความเข้าใจบริบทวัฒนธรรม เศรษฐกิจ กฎหมาย และสังคมเกี่ยวเนื่องกับการใช้ การเข้าถึงสารสนเทศ รวมทั้งการใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรม ชอบด้วยกฎหมาย
7. ผู้รู้สารสนเทศควรตระหนักถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการมีส่วนร่วมของพลเมือง

การเลือกใช้สารสนเทศจากแหล่งสารสนเทศ
เมื่อมีความต้องการสารสนเทศเกิดขึ้น ผู้ใช้สามารถเลือกใช้แหล่งสารสนเทศได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ โดยมีหลักในการพิจารณา (มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์. 2547 : 25-26) ดังนี้
1. มีความสะดวกในการเข้าใช้ เช่น อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งสารสนเทศที่เข้าใช้ได้สะดวก รวดเร็ว โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ เพียงแต่ผู้ใช้มีเครื่องคอมพิวเตอร์และใช้อินเทอร์เน็ตเป็น ส่วนห้องสมุดเป็นแหล่งสารสนเทศที่มีความสะดวกในการเข้าใช้ จัดตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางและเปิดให้บริการตามเวลาที่กำหนด 2. มีความน่าเชื่อถือ ห้องสมุดเป็นแหล่งสารสนเทศที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าแหล่งบุคคลและอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมีวิธีการคัดเลือก จัดหา จัดเก็บ ทรัพยากรสารสนเทศอย่างเป็นระบบ และมุ่งเน้นให้บริการสารสนเทศ ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้ ประหยัดเวลาในการค้นหาสารสนเทศ ขณะที่อินเทอร์เน็ตมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าห้องสมุด เนื่องจากสารสนเทศในอินเทอร์เน็ต ไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าของทำหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหา แหล่งสารสนเทศบุคคล ควรคำนึงถึงผู้ที่มีชื่อเสียง คุณวุฒิ หรือประสบการณ์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป 3. มีความสอดคล้องกับลักษณะของเนื้อหาสารสนเทศที่ต้องการ เช่น ถ้าต้องการความรู้ เฉพาะสาขาวิชาควรเลือกใช้ ห้องสมุดคณะ ห้องสมุดเฉพาะ หรือศูนย์สารสนเทศ หรือถ้าต้องการความรู้หลากหลายสาขาวิชา ควรเลือกใช้ห้องสมุดมหาวิทยาลัย หรือถ้าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาอ่านได้ จากทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่างๆ อาจต้องใช้แหล่งบุคคลที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น 4. ความทันสมัยของเนื้อหาที่นำเสนอ สื่อมวลชน เป็นแหล่งที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ดังนั้น ข้อมูลข่าวสาร ที่เผยแพร่จึงล้าสมัยเร็ว เช่น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ตลาดหุ้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ดังนั้นจำเป็นต้องพิจารณา วัน เดือน ปี ของการผลิต หรือเผยแพร่ข้อมูลของแหล่งสื่อมวลชนด้วย
ความต้องการสารสนเทศ
บุคคลเมื่ออยู่ในสถานการณ์ ที่ต้องใช้การตัดสินใจ หรือต้องการหาคำตอบ ของปัญหา หรือข้อเท็จจริง เพื่อแก้ปัญหา หรือทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยที่ตนเอง ยังไม่มีความรู้ ในเรื่องนั้นๆ เพียงพอ ซึ่ง อาจมีทั้ง ความต้องการสารสนเทศไปใช้ทันที และความต้องการเก็บรวบรวมสารสนเทศ ไว้ใช้ในอนาคต ซึ่งความต้องการสารสนเทศนี้ สามารถกำหนดถึงความต้องการ ที่แท้จริงได้ (มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ และสารนิเทศศาสตร์. 2547 : 6-9) คือ
1. วิเคราะห์ความต้องการสารสนเทศ โดยกำหนดเป็นหัวข้อ (Topic) ความต้องการสารสนเทศ ต้องเกิดจากความต้องการอยากรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง เช่น เพื่อการทำงาน เพื่อการเรียน เพื่อการตัดสินใจ เพื่อแก้ปัญหา เป็นต้น 2. การพิจารณาลักษณะของสารสนเทศ กำหนดคุณลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ เมื่อกำหนดหัวข้อ และประเด็นแนวคิดของสารสนเทศ ที่ต้องการได้แล้ว ต่อไป คือ การกำหนดคุณลักษณะของข้อมูลที่ต้องการในแต่ละแนวคิด คุณลักษณะของสารสนเทศมี 7 ประเด็น คือ 2.1 เนื้อหาของสารสนเทศ (content) หมายถึง เนื้อเรื่องของสารสนเทศ อาจเป็นความรู้กว้างๆ หรือ เฉพาะเจาะจงในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง 2.2 ชนิดของสารสนเทศ (nature) สารสนเทศที่มีเนื้อหาอย่างเดียวกัน อาจมีชนิดแตกต่างกัน เช่น ทฤษฎี สูตรคณิตศาสตร์ คำอธิบาย ตาราง แผนภูมิ หรือหลายประเภทรวมกัน เป็นต้น 2.3 ปริมาณของสารสนเทศ ( quantity) ที่ต้องการมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความต้องการและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน 2.4 รูปแบบของสารสนเทศ (packaging) คือลักษณะภายนอกของสารสนเทศ เช่น หนังสือ ฐานข้อมูล บทความวารสาร บทคัดย่อ รายงานการประชุม รายงานการวิจัย เป็นต้น 2.5 ความทันสมัยหรือช่วงระยะเวลาของสารสนเทศ (data range) หรืออายุของสารสนเทศที่ต้องการ อยู่ในช่วงเวลาใด สารสนเทศที่เป็นปัจจุบัน หรือ สารสนเทศเชิงประวิติศาสตร์ ช่วงเวลาของสารสนเทศมีหลายระดับ ได้แก่ ใหม่มาก หมายถึง สารสนเทศที่มีอายุภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา ทันสมัย หมายถึง สารสนเทศที่มีอายุภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา เก่าย้อนหลัง หมายถึง สารสนเทศที่มีอายุเกิน 1 ปี 2.6 คุณภาพของสารสนเทศ (quality) คุณภาพของสารสนเทศเป็นความรู้สึกของผู้ใช้ว่า ถูกต้อง น่าเชื่อถือ โดยสามารถพิจารณาจากความเชี่ยวชาญของผู้เขียน ความมีชื่อเสียงของสำนักพิมพ์ ที่เป็นผู้จัดทำสารสนเทศต่างๆ 2.7 ภาษาของสารสนเทศ (language) ปกติผู้ใช้ต้องการใช้สารสนเทศในภาษาของตน ที่สามารถเข้าใจง่าย เหมาะกับการใช้งาน การใช้สารสนเทศภาษาอื่น ถ้าขาดทักษะในภาษานั้นๆ จะทำให้ไม่สามารถรับสารสนเทศได้อย่างสมบูรณ์ 3. การวางแผนค้นหาสารสนเทศ เมื่อผู้ใช้ตระหนัก และเห็นความต้องการสารสนเทศของตนแล้ว จะสามารถกำหนดความต้องการ และค้นหาสารสนเทศได้ โดยกำหนดขั้นตอนการค้นคืนสารสนเทศ ดังนี้ 3.1 กำหนดหัวข้อตามความต้องการและแยกออกเป็นประเด็นแนวคิดหรือคำถามย่อยๆ 3.2 ระดมความคิดว่าประเด็นแนวคิดที่ต้องการสารสนเทศนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใด หรือมีสิ่งแวดล้อมใดที่มีความสัมพันธ์กัน โดยนำแนวคิด ความรู้ความเข้าใจที่สรุปได้จากประสบการณ์การเรียนรู้ต่างๆ นำมาเชื่อมโยงแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหลักและแนวคิดย่อยๆ 3.3 กำหนดประเด็นแนวคิด คำสำคัญ หัวเรื่อง กำหนดทรัพยากรสารสนเทศหรือแหล่งสารสนเทศใดที่เหมาะสม เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ครอบคลุมและเฉพาะเจาะจงตรงกับความต้องการ 3.4 กำหนดเงื่อนไขการประเมินเพื่อเลือกทรัพยากรและแหล่งสารสนเทศให้เหมาะสม เช่น ระยะเวลาของเรื่อง ประเภทและรูปแบบการนำเสนอ เป็นต้น
คุณค่าของสารสนเทศ
สารสนเทศที่หามาได้นั้นจะมีคุณค่าต่อการใช้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 4 ประการ คือ
1. เวลา (time) สารสนเทศที่ได้รับ ต้องทันต่อเหตุการณ์ รวดเร็ว ทันต่อความต้องการในการใช้
2. ความถูกต้อง (accuracy) สารสนเทศ ต้องปราศจากความผิดพลาด ไม่มีการแต่งเติม จนมีผลต่อความรู้สึก ความเข้าใจของผู้ใช้ ความชัดเจน ปราศจากความคลุมเครือ ไม่ต้องอาศัยการตีความเพิ่มเติม และสามารถพิสูจน์ได้
3. ความครบถ้วน (completeness) สารสนเทศที่ครบถ้วน จะต้องไม่ขาดหาย และไม่ถูกบิดเบือนจากความจริง มีปริมาณเพียงพอ กับความต้องการในการใช้
4. ความต่อเนื่อง (continuation) มีลักษณะการสะสมของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ประสานเป็นเนื้อหาเดียวกัน
นอกจากนี้ ชัชวาลย์ วงษ์ประเสริฐ์ และคณะ. (2537 : 6) ได้กำหนดคุณสมบัติที่สำคัญในการวัดค่าสารสนเทศไว้ดังนี้
1. สามารถเข้าถึงได้ (Accessibility) หมายถึง ความสะดวกในการเข้าถึง
2. ความครบถ้วน (Completeness) หมายถึงความสมบูรณ์ในเนื้อหาของสารสนเทศ โดยพิจารณาทางด้านคุณภาพของสารสนเทศมากกว่าด้านปริมาณ
3. ความถูกต้องเที่ยงตรง (Accurancy) หมายถึง สารสนเทศที่ได้รับต้องไม่มีข้อผิดพลาด เช่น ข้อผิดพลาดด้านการคัดลอก การบันทึกข้อมูล การคำนวณ เป็นต้น
4. ความเหมาะสม (Appropriateness) หมายถึง ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ได้รับตรงตามความต้องการของผู้ใช้
5. ความทันเวลา (Timeline) หมายถึง สารสนเทศนั้นต้องใช้ระยะเวลาอันสั้นและมีความรวดเร็วในการประมวลผล เพื่อให้ผู้ใช้สารสนเทศได้รับทันเวลา
6. ความชัดเจน (Clarity) หมายถึง สารสนเทศที่ได้รับ ต้องมีความชัดเจน ไม่กำกวม
7. ความยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง สารสนเทศที่ดีนั้นจะต้องให้ประโยชน์แก่บุคคลจำนวนมากอย่างกว้างขวาง
8. ความสามารถในการพิสูจน์ได้ (Verifiability) หมายถึง สารสนเทศนั้น ต้องสมารถพิสูจน์หรือตรวจสอบได้ว่าเป็นความจริง
9. ความซ้ำซ้อน (Redundancy) หมายความว่า สารสนเทศนั้นมีความซ้ำซ้อนหรือมีมากเกินความจำเป็นหรือไม่

สรุปสาระสำคัญ
การเข้าถึงสารสนเทศ และสามารถใช้สารสนเทศประกอบการศึกษา ค้นคว้าและวิจัย จึงจำเป็นสำหรับผู้ศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ศึกษาในระดับอุดมศึกษา ที่จัดเป็นทรัพยากรบุคคลตามความคาดหวังของประเทศ การศึกษาวิชา ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ 3000-1601 จึงทำให้เกิดความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่อไปนี้
- ความสำคัญของสารสนเทศ
- ทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ
- สิ่งที่ใช้บันทึกสารสนเทศ
- แหล่งสารสนเทศ ได้แก่ ห้องสมุด หน่วยงานบริการสารสนเทศ ฐานข้อมูล เว็บไซต์ และเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
- เครื่องมือช่วยการเข้าถึงสารสนเทศทั้งในระบบดั้งเดิม และระบบอัตโนมัติ
- การให้บริการของห้องสมุด และหน่วยงานบริการสารสนเทศ
- การใช้สารสนเทศเพื่อประกอบการทำรายงาน เช่น รายงานประจำวิชา ภาคนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ และงานวิจัย ทั้งนี้การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพของบุคคล ผู้ที่ตั้งใจใฝ่ศึกษาหาความรู้ เสริมสร้างประสบการณ์ และร่วมมือพัฒนาองค์ความรู้เท่านั้นที่จะประสพความสำเร็จในชีวิต







แบบประเมินผลการเรียนรู้ท้ายหน่วยที่ 2

ตอนที่ 1 คำสั่ง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. คำว่า "สารสนเทศ" ตรงกับคำในภาษาอังกฤษ ว่าอะไร
ก. Informatic ข. Information ค. Information age ง. Information Society
2. สารสนเทศ มีความหมายว่าอย่างไร
ก. ความรู้ที่ได้รับทราบจากการบอกเล่าของผู้อื่นต่อๆ กันมา
ข. ทรัพยากรสารสนเทศ สถานที่ และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ค. ข่าวสารใหม่ๆ ที่เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไปขณะนั้น
ง. ความรู้ เรื่องราว ข้อมูล ข่าวสาร ที่มีการบันทึกเผยแพร่และนำไปใช้ประโยชน์
3. สารสนเทศ กลายสภาพมาจากอะไร
ก. การประมวลผล ข. ข้อมูล ค. สารนิเทศ ง. การจัดหาข้อมูล
4. ข้อใดคือลักษณะของสารสนเทศที่ดี
ก. ต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่เสมอ
ข. ต้องได้รับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่ครบถ้วน
ค. ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ทันต่อความต้องการ
ง.ต้องได้รับอย่างสมบูรณ์ ครบถ้วน ถึงจะเลยเวลาที่จำเป็นต้องใช้ก็ตาม
5. ยูเนสโก กำหนดว่า ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของโลก คือข้อใด
ก. ทุน มนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ ข. ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการมนุษย์
ค. ทรัพยากรธรรมชาติ มนุษย์ สารสนเทศ ง. สารสนเทศ การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ
6. จำนวนคนที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับสารสนเทศ มีมากกว่าจำนวนผู้ใช้แรงงาน แสดงว่า
ก. ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ข. คนถูกปลดออกจากงานมาก
ค. เป็นสังคมเกษตรกรรม ง. เป็นสังคมสารสนเทศ

7. วันนี้...นักศึกษาต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง กรณีการดำเนินคดียุบพรรคการเมือง แหล่งสารสนเทศ สื่อที่นักศึกษาควรนึกถึงเป็นอันดับแรกที่ทันเหตุการณ์ที่สุด คือ
ก. หนังสือ ข. หนังสือพิมพ์ ค. อินเทอร์เน็ต ง. บทความวารสาร
8. สารสนเทศสามารถใช้ประโยชน์ในการพัฒนาด้านใดบ้าง
ก. การทำงาน ข. การเรียน ค. การดำเนินชีวิตประจำวัน ง. ถูกทุกข้อ
9. สถานการณ์ใดที่นักศึกษาไม่ได้ใช้ทรัพยากรสารสนเทศ
ก. นักศึกษาเลือกฝากเงินกับธนาคาร ที่ให้ดอกเบี้ยสูง
ข. เข้าห้องสมุด เพื่อค้นคว้า ข้อมูลมาประกอบการทำรายงาน
ค. นักศึกษาอ่านหนังสือนอกเหนือจากที่อาจารย์สอนในห้องเรียนทำให้ได้เกรด A
ง. นักศึกษาปวดศีรษะ จึงกินยาแอสไพริน โดยไม่ทราบว่าอาจมีผลทำให้เป็นโรคกระเพาะ
10. ข้อใดไม่ใช่การเรียนในระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน
ก. การเรียนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ข. การเรียนผ่านระบบเครือข่าย
ค. การเรียนที่ไม่ต้องพึ่งพาอาจารย์ผู้สอน
ง. การเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
11. ผู้รู้สารสนเทศ หมายถึงอะไร
ก. บุคคลที่ทราบคำตอบของปัญหา
ข. บุคคลที่รู้ว่าจะเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างไร
ค. บุคคลที่กำลังเรียนในสาขาของที่ตนเองชอบ
ง. บุคคลที่รู้ความหมายของสารสนเทศ
12. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
ก. ผู้ที่เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ
ข. ผู้ที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
ค. ผู้ที่สามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต
ง. ผู้ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในการเล่นเกม


13. ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
ก. ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
ข. ช่วยบุคคลเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ค. โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น
ง. สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
14. ข้อใดไม่ใช่ องค์ประกอบของการรู้สารสนเทศ
ก. ใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรม
ข. ตระหนักถึงประโยชน์ของสารสนเทศ
ค. สืบค้นสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ง. ตระหนักว่าสารสนเทศที่สืบค้นได้มีความครบถ้วนสมบูรณ์
15. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง 1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ 2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ 3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ 5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
ก. 1-2-3-4-5 ข. 2-4-5-3-1 ค. 5-4-1-2-3 ง. 4-3-5-1-2
16. ข้อใดคือประโยชน์ของแหล่งทรัพยากรสารสนเทศ
ก. เป็นที่เก็บหนังสือที่มีคุณค่า
ข. เป็นที่รวมของบุคลากรที่มีความชำนาญ
ค. ช่วยให้นักศึกษามีแหล่งพักผ่อนยามว่าง
ง. สนับสนุนการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพในวิชาชีพ
17. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของยุคสารสนเทศ
ก. ประชาชน องค์กร ใช้สารสนเทศประกอบการตัดสินใจ
ข. สารสนเทศเข้าถึงได้ยากโดยเฉพาะสารสนเทศที่ไม่มีในประเทศ
ค. ประชาชนนิยมการให้บริการออนไลน์
ง. มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริการสารสนเทศ

18. องค์ความรู้หมายถึงอะไร
ก. ผลผลิตที่ตลาดต้องการ
ข. ข้อมูลสถิตินักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง
ค. สารสนเทศที่ได้รับการนำเสนออย่างเป็นระบบ
ง. ทรัพย์สินทางปัญญาที่สามารถจดทะเบียนลิขสิทธิ์ได้
19. จากคำกล่าวที่ว่า สารสนเทศคืออำนาจ (Information is Power) มีความหมายตรงกับข้อใด
ก. กลุ่มประเทศที่มีการวางแผนโครงข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันหลายประเทศทั่วโลก
อย่างครอบคลุม
ข. ผู้ที่เข้าถึงสารสนเทศก่อนผู้อื่นย่อมมีโอกาสเป็นผู้นำในการดำเนินการและแข่งขัน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ค. ผู้ที่มีเทคโนโลยีอยู่ในครอบครองย่อมเป็นผู้นำด้านต่าง ๆ อยู่เสมอ
ง. คือ เทคโนโลยีทางด่วนข้อมูล
20. ข้อใดคือแหล่งสารสนเทศแห่งแรกของประเทศไทย
ก. หอไตร ข. หอสมุดวชิรญาณ
ค. หอสมุดแห่งชาติ ง. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

ตอนที่ 2
1. จงอธิบายความเข้าใจของท่านเกี่ยวกับยุคสารสนเทศ
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2. จงอธิบายถึงความสำคัญของสารสนเทศต่อบทบาทของนักศึกษา
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................


3. เหตุใดการบันทึกสารสนเทศจึงมีความสำคัญ..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................

4. จงลำดับพัฒนาการของห้องสมุดในโลก และในประเทศไทย
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
5. เมื่อท่านได้ศึกษาความหมายของสารสนเทศจากเอกสารแล้ว จงสรุปความหมายของสารสนเทศมาตามความเข้าใจ
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
6. จงอธิบายความสำคัญของสารสนเทศต่อการดำรงชีวิตมาอย่างอย่างสั้น ๆ พอเข้าใจ
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
7. ท่านเป็นนักศึกษาด้านอาชีวศึกษาซึ่งต้องออกไปประกอบอาชีพในสังคมในอนาคตอันใกล้นี้ ท่านคิดว่าสารสนเทศมีบทบาทต่อการประกอบอาชีพของท่านอย่างไร
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
8. จงเปรียบเทียบองค์ประกอบของการรู้สารสนเทศของสมาคมห้องสมุดแห่งอเมริกากับมาตรฐานการรู้สารสนเทศของสมาคมห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งออสเตรเลีย
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................

9. จงอธิบายกระบวนการตัดสินใจเลือกใช้สารสนเทศจากแหล่งสารสนเทศตามความต้องการของตน ว่ามีหลักการและวิธีการอย่างไร
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
10. ให้สืบค้นข้อมูลมูลจากคำต่อไปนี้พร้อมให้รายละเอียดสั้น ๆ พอเข้าใจ
อักษรลิ่ม ห้องสมุดปาไปรัส ห้องสมุดแผ่นหนัง หอไตร
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น